วันศุกร์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2551

พนม ยีรัมย์ (Tony Ja)


‘จา’ พนม ยีรัมย์ หรือ โทนี่ จา (Tony Ja) เกิด 5 กุมภาพันธ์ 2519 ที่จังหวัดสุรินทร์ เป็นลูกคนที่ 3 ในจำนวนพี่น้อง 4 คน ชื่อจริงก่อนเข้าวงการคือ วรวิทย์ ยีรัมย์ ซึ่งเขาก็ใช้ชื่อนี้มาจนกระทั่งเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2541 ก็ได้เปลี่ยนเป็น พนม ยีรัมย์ เพราะผู้เป็นพ่อฝันว่ามีคนแก่ชุดขาวมาทายทักว่า ถ้าเปลี่ยนชื่อเป็นพนม (แปลว่าภูเขา) จะเจริญรุ่งเรือง ส่วนชื่ออินเตอร์ โทนี่ จา นั้นผู้กำกับฯ ปรัชญา ปิ่นแก้ว เป็นผู้ตั้งให้ระหว่างเดินสายโชว์ตัวต่างประเทศ โดยเลือกใช้ชื่อโทนี่เพราะมีตัวอักษร T เป็นอักษรนำซึ่งสื่อถึงตัว ที ในคำว่า ไทยแลนด์ ด้วย ส่วน ‘จา’ นั้นเป็นชื่อเล่นเดิมของพนม ยีรัมย์เอง


จา พนมเคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่า ในวัยเด็กนั้นเขาใช้ชีวิตเฉกเช่นเดียวกับเด็กคนอื่นๆ ในละแวกเดียวกันทั่วไป เที่ยวเล่นอยู่กับธรรมชาติและช่วยพ่อเลี้ยงช้างอันเป็นอาชีพเดิมของบรรพบุรุษ และอาชีพเลี้ยงช้างนี่เองก็เป็นสิ่งที่ทำให้พ่อและแม่ของเขาได้พบรักกัน “พ่อขี่ช้างมาเจอแม่เลยละครับ” และอีกกิจกรรมหนึ่งที่เขาชื่นชอบไม่น้อยเมื่อสมัยที่ยังเป็นเด็กชายก็คือการชมภาพยนตร์ ไม่ว่าจะเป็นหนังกลางแปลง หนังขายยา ฯลฯ ภาพยนตร์จีนแอ็กชันมากมายที่ได้ชมในช่วงเวลานั้นเองทำให้เขาฝันอยากเป็นนักแสดงบทบู๊อย่างเฉินหลงและบรู๊ซ ลี เมื่อดูหนังเสร็จกลับมาถึงบ้านก็เป็นต้องฝึกเลียนแบบท่าทางผาดโผนต่างๆ ไปตามเรื่องตามราว จนเรียนถึงมัธยมปีที่ 3 พบกับจุดพลิกผันในชีวิตครั้งยิ่งใหญ่เมื่อได้ดูภาพยนตร์ไทยแอ็คชั่นเรื่อง “เกิดมาลุย” ที่เขียนบท กำกับและนำแสดงโดย พันนา ฤทธิไกร จึงเริ่มต้นฝึกซ้อมคิวบู๊และการต่อสู้ด้วยตนเอง ทุกวันจนแทบไม่ได้กินข้าวในบางวัน จนกระทั่งเรียนจบมัธยมปีที่ 3 ตัดสินใจว่าจะต้องเอาดีทางแอ็กชันให้ได้ ก็เลยขอให้พ่อพามาฝากตัวกับพันนา ฤทธิไกร ซึ่งกำลังถ่ายหนังอยู่ที่จังหวัดขอนแก่น ทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน จนได้พบกับพันนาในวันรุ่งขึ้นที่โรงแรมแก่นอินน์ซึ่งกำลังจะเดินทางเข้ากรุงเทพ หลังถ่ายหนังเสร็จสิ้นโดยได้รับคำแนะนำว่าให้กลับไปเรียนหนังสือก่อน แล้วค่อยมาเรียนรู้หรือฝึกฝนในช่วงปิดเทอม แล้วตลอดระยะเวลา 3 ปีในช่วงปิดเทอมเขาก็ได้เรียนรู้ประสบการณ์ชีวิตในกองถ่ายทำภาพยนตร์ ตั้งแต่การเป็นเด็กประจำกองถ่าย ไม่ว่าจะเป็นการเสิร์ฟน้ำ ทำอาหาร ยกอุปกรณ์ที่ใช้ในการถ่ายทำ อาทิ รีเฟล็กซ์, รางดอลลี่ ฯลฯ ไปพร้อมๆ กับการเรียนรู้และฝึกฝนในสิ่งที่เขารักคือคิวบู๊การต่อสู้ ตลอดเวลา 3 ปีนี้ทำให้เขาได้เรียนรู้สิ่งดีๆ กลับไปมากมาย


อีก 3 ปีให้หลัง จา พนม ก็เรียนจบ ม. 6 จากโรงเรียนประสาทวิทยาคม เขามุ่งหน้าเข้าเรียนต่อที่วิทยาลัยพลศึกษามหาสารคามทันที ที่นั่นเขาก็ได้ศึกษาเกี่ยวกับศิลปะการต่อสู้ทุกอย่าง ทั้ง เทควันโด้ มวยไทย กระบี่ กระบอง ยิมนาสติก และกีฬาทุกอย่างโดยยังคงฝึกกับพี่พันนาเป็นประจำทุกเสาร์อาทิตย์ที่จังหวัดขอนแก่น จนทางพันนาเห็นวี่แววและหน่วยก้านจึงเริ่มให้แสดงฝีมือในการเป็นสตันท์แมน และนักแสดงร่วมในภาพยนตร์หลายเรื่อง ขณะเดียวกันก็เริ่มคิดค้นการนำเอาศิลปะเกี่ยวกับภาพยนตร์มาผสมผสานกับศิลปะการต่อสู้ที่ได้เล่าเรียนมาจากมหาวิทยาลัยพลศึกษา โดยนำพื้นฐานทางด้านยิมนาสติกทุกอย่าง แม่ไม้มวยไทยมาประยุกต์ ผสมผสานกับการใช้อาวุธไทย เริ่มต้นรวบรวมทีมงาน แล้วนำออกไปโชว์ตามโรงเรียนมัธยมต่างๆ ทางภาคอีสาน ภายใต้กิจกรรมของชมรมกระบี่กระบองที่ได้จัดตั้งขึ้นโดยที่เขารับผิดชอบในการทำเป็นประธานชมรม เป็นตัวแทนวิทยาลัยพลศึกษาแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมและเผยแพร่ศิลปะการต่อสู้ของไทย (มวยไทย, กระบี่กระบอง) ที่ประเทศจีน รวมทั้งเป็นวิทยากรตัวแทนวิทยาลัยพลศึกษา เผยแพร่ศิลปะการต่อสู้ของไทยในภาคอีสานและกรุงเทพฯ และเป็นนักกีฬาเหรียญทอง (ทุกปี) วิทยาลัยพลศึกษา ประเภท กระบี่กระบอง, ยิมนาสติก, กรีฑา (วิ่ง, กระโดดไกล, กระโดดสูง)






จนกระทั่งได้กลายเป็นสตันท์แมนเต็มตัวเมื่อมีโอกาสได้ร่วมในโปรเจ็กต์ภาพยนตร์แอ็คชั่นจากฮอลลีวูดอย่าง Motal Combat 2 ซึ่งยกกองมาถ่ายทำอยู่ที่จังหวัดอยุธยาโดยเอาชนะสตันท์แมนกว่า 100 คน เพื่อเล่นเป็นสตันท์แทนโรบิน ชู พระเอกในเรื่อง ต่อมาแสดงแทนเจมส์ เรืองศักดิ์ ลอยชูศักดิ์ พระเอกอาร์เอสในฉากแอ็คชั่นของหนังไทยของไฟว์สตาร์เรื่อง แก๊งกระแทกก๊วน ตามด้วยภาพยนตร์ชุดทางโทรทัศน์ของช่อง 7 เรื่องอินทรีแดง


ต่อมา จา พนมและพันนา ฤทธิไกร ก็ได้เริ่มต้นลงมือทำโปรเจ็กต์เกี่ยวกับมวยไทยโดยรวบรวมเงินรายได้ทั้งหมดที่มีถ่ายทำด้วยฟิล์มภาพยนตร์ขึ้นมาเพื่อนำเสนอปรัชญา ปิ่นแก้ว และเป็นจุดเริ่มต้นและที่มาของโปรเจ็กต์ภาพยนตร์ไทยแอ็คชั่นฟอร์มยักษ์เกี่ยวกับมวยไทยขึ้นโดยใช้เวลาในการเตรียมงาน เวิร์คช็อพ คิดค้นท่า ฉากแอ็กชัน พร้อมกับพัฒนาบทภาพยนตร์ ไปจนถึงขั้นตอนการถ่ายทำไปทั้งหมดถึง 4 ปี และในท้ายที่สุดกลายเป็นภาพยนตร์ไทยแอ็กชันเรื่องยิ่งใหญ่ที่มีชื่อว่า “องค์บาก” กล่าวได้ว่าเป็นภาพยนตร์ที่รวบรวมเอาความสามารถที่มีทั้งหมดของทั้งนักแสดงและผู้กำกับคู่นี้ไว้ด้วยกัน


ไม่เพียงแต่ประสบความสำเร็จในบ้านเราเท่านั้น เมื่อมีการส่งภาพยนตร์เรื่องนี้โกอินเตอร์ในชื่อ Ong Bak : The Thai Warrior ฉายในอเมริกาเหนือครั้งแรกเมื่อวันที่ 11 ก.พ. ที่ผ่านมา โดยได้จำนวนโรงฉายทั้งสิ้น 250 โรง ซึ่งตัวหนังก็มีกระแสตอบรับอย่างดีเยี่ยมจากการเดินสายแสดงศิลปะแม่ไม้มวยไทยเพื่อโปรโมตหนังของจา พนม ทำให้มีการเพิ่มโรงฉายเป็น 387 โรงและทำรายได้เปิดตัววันแรกสูงถึง 435,000 เหรียญ รวมทั้งสามวันทำเงินไปทั้งสิ้น 1,334,869 เหรียญ ขึ้นถึงอันดับ 17 ในตารางหนังทำเงินของฝั่งอเมริกาเหนือ และเป็นครั้งแรกที่หนังไทยสามารถขึ้นบ็อกซ์ออฟฟิศ 20 อันดับแรกได้ โดยสัปดาห์ล่าสุดเลื่อนขึ้นมาหนึ่งขั้นอยู่อันดับ 24 ด้วยรายรับ 296,712 เหรียญต่อจำนวนโรงฉาย 191 โรง รวมสี่สัปดาห์ทำรายรับไป 3,875,926 เหรียญ หรือราว 149 ล้านบาทแล้ว


ด้วยความที่องค์บาก ได้รวบรวมเอาทั้งความสามารถทางด้านการแสดงฉากผาดโผนเสี่ยงตายมากมายชนิดที่ไม่มีสลิงหรือเทคนิคพิเศษเขาช่วยแม้แต่ฉากเดียว ไปจนถึงการถ่ายทอดให้เห็นศิลปะการต่อสู้ที่เรียนรู้ทุกรูปแบบรวมทั้งแม่ไม้มวยไทยโบราณ ทำให้จา พนมได้รับความสนใจและทาบทามจากบริษัทโกลเดนฮาร์เวสท์ ผู้สร้างซูเปอร์สตาร์ฮีโรในโลกภาพยนตร์แอ็กชันอย่างบรูซ ลีและเฉินหลงไปร่วมงาน



ล่าสุดได้มีการมอบรางวัลประกาศเกียรติคุณให้กับทีมงานทุกคนที่ร่วมกันสร้างชื่อให้กับประเทศไทยและยังแต่งตั้งให้จา พนม ยีรัมย์ พระเอกของเรื่องเป็นทูตวัฒนธรรมด้านภาพยนตร์คนแรกของไทยอีกด้วย โดยรัฐบาลเป็นเจ้าภาพจัดพิธีมอบรางวัลขึ้นที่โรงแรมอิมพีเรียลควีนสปาร์คเมื่อช่วงหัวค่ำวันที่ 10 มีนาคม งานนี้นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธานเปิดงานพร้อมด้วย คุณหญิงทิพาวดี เมฆสวรรค์ ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ขึ้นมอบโล่ประกาศเกียรติคุณแก่ทีมงานผู้สร้างภาพยนตร์เรื่ององค์บาก




“ผมรู้สึกเป็นเกียรติมากเลยครับ ภูมิใจที่ได้รับรางวัลนี้เพราะเป็นคนแรกที่ได้รับรางวัลนี้ด้วย ดีใจมากที่มีโอกาสได้เผยแพร่หนังไทย ศิลปะของไทยให้ต่างชาติได้เห็น”



จากความสำเร็จระดับโลกขององค์บากนี้เอง ทำให้ จา พนม ยีรัมย์ ก้าวเทียบชั้นกับนักแสดงระดับตำนานอย่างบรูซ ลีและเจ็ท ลี ทำให้เขากลายเป็นแอ็กชันฮีโรคนใหม่ของผู้ชมทั่วโลกในขณะนี้ และเป็นขวัญใจของเด็กๆ ชาวไทยที่ได้มีไอดอลคนใหม่ที่พวกเขาชื่นชม


ใช่จะมีแต่คนไทยที่กำลังชื่นชมเขา แม้แต่วงการสื่อต่างชาติก็เริ่มจะจับจ้องพระเอกนักบู๊ที่ชื่อจา พนม คนนี้แล้วเช่นกัน หนุ่มลูกเมืองช้างคนนี้เคยไปปรากฏโฉมในนิตยสารผู้ชายระดับโลกอย่าง GQ เวอร์ชั่นอเมริกา ฉบับเมษายน และล่าสุด จา พนม ยีรัมย์ ได้รับการคัดเลือกจากนิตยสารบันเทิงชื่อดังของสหรัฐอเมริกาอย่างเอ็นเตอร์เทนเมนท์ วีคลี ฉบับประจำสัปดาห์ที่ 24 มิ.ย. และ 1 ก.ค. ที่ผ่านมา ในบทความ 122 PEOPLE & THINGS WE LOVE THIS SUMMER : THE MUST LIST จา พนม เป็นนักแสดงไทยคนแรกและคนเดียวที่ถูกคัดเลือกให้ติดอันดับความฮอทประจำซัมเมอร์นี้ในส่วนของนักแสดงประเภท ‘หน้าใหม่มาแรง’ ด้วยความสามารถเฉพาะตัวแบบ ‘ไม่ใช้สลิง ไม่ใช้ตัวแสดงแทน และไม่พึ่งเอฟเฟกต์’ จากผลงานภาพยนตร์ ‘องค์บาก’ ที่สร้างความฮือฮาไปทั่วโลก และจากความร้อนแรงของจา พนมนี่เอง ที่ทำให้สื่อมวลชนต่างประเทศมีการนำคำว่า ‘องค์บาก’ มาใช้เป็นคำสแลงที่มีความหมายว่า Kicking Butt หรือยอดเยี่ยม เฉียบขาดที่สุด


จา พนมพูดถึงการได้รับคัดเลือกคราวนี้ว่า “รู้สึกดีใจมากๆ ครับ แค่คนต่างชาติได้ดูหนังที่ผมเล่นก็ดีใจแล้ว นี่เขายังเลือกให้เราเป็นหนึ่งในความร้อนแรงด้านบันเทิงของเขา ก็ยิ่งภูมิใจเข้าไปอีก และก็หวังว่าถ้าคนต่างชาติได้ดูต้มยำกุ้งที่กำลังจะเข้าฉาย เขาก็คงจะยิ่งชอบในหนังแอ็คชันสไตล์ไทยๆ และแม่ไม้มวยไทยแบบใหม่ๆ ของผมมากยิ่งขึ้นครับ”


ผลงานเรื่องล่าสุดของ จา พนม ที่กำลังจะเข้าฉายอย่าง “ต้มยำกุ้ง” ก็จัดได้ว่าเป็นภาพยนตร์โปรเจ็กต์ยักษ์ที่มีการทุ่มเททั้งเงินทุน เวลาและมันสมองกันอย่างมากมายมหาศาล และแน่นอนว่ากับหนังเรื่องล่าสุดของเขานี้ ผู้ชมจะได้พบกับกับความแปลกใหม่ของศิลปะแม่ไม้มวยไทยที่เขาสู้อุตส่าห์ซุ่มซ้อมอยู่นานแรมปี และไม่เคยปรากฏในหนังเรื่องใดมาก่อน ด้วยเหตุนี้หนังเรื่องสองที่เขาแสดง ต้มยำกุ้ง ซึ่งมีโปรแกรมจะเข้าฉายในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้ สามารถขายไปสู่ตลาดโลกได้แล้วกว่า 600 ล้านบาท ซึ่งคงเป็นการตอกย้ำให้เห็นแล้วว่านักอุตสาหกรรมภาพยนตร์ในต่างประเทศ ก็เล็งเห็นถึงศักยภาพและเชื่อมั่นในคุณภาพของหนังไทยในระดับหนึ่งแล้วว่า จะสามารถทำเงินได้ไม่แพ้หนังฟอร์มใหญ่ๆ จากประเทศมหาอำนาจเช่นกัน